วันที่ 1
วันที่ 2
วันที่ 3 (ทัวร์ 4 เกาะ)
กินข้าวเย็น Khaothong Hill
วันที่ 4 (ชมวิวทะเลหมอกพายเรือคายัก)
การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ต้องพักอยู่บ้านมา 2 ปีติดๆ
วันนี้จะพาทุกคนไปเที่ยวกระบี่ พักผ่อนกับทะเลสวยๆ น้ำใสๆ ซักหน่อย จะเป็นอย่างไรบ้าง ตามไปดูกัน
วันที่ 1
ภาระกิจหลักของการไปเที่ยวกระบี่รอบนี้คือ การถ่ายรูปกับทะเลแหวก และพายเรือคายัค ชิวๆ ที่คลองหรูด
ก่อนอื่นเราจะต้องเช็คความพร้อมของตัวเองก่อนเดินทางด้วยนะ ว่า เราพร้อมที่จะเข้าจังหวัดกระบี่ได้หรือป่าว เพราะถึงแม้จะเปิดประเทศให้เที่ยวได้แล้วก็ตาม แต่ละจังหวัดก็ยังคงมีมาตรการตรวจคนเข้าจังหวัดอยู่ดี สำหรับจังหวัดกระบี่นั้น เขาขอแค่ ฉีดวัคซีนครบโดส อย่างน้อย 2 เข็ม หรือ mRNA 1 เข็ม ถ้าไม่ครบหรือไม่ได้ฉีด ก็ขอให้มีผลตรวจ ATK รับรองว่าเราไม่มีเชื้อโควิดเข้าจังหวัดเขา
ซึ่งผลตรวจนั้นสำคัญมากนะ จะมีการตรวจเช็คตั้งแต่สนามบินก่อนขึ้นเครื่องเลยแหล่ะ ดังนั้น เตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนออกเดินทางด้วยนะ
ทริปนี้เราไปกัน 5 คน การเดินทางเริ่มต้นขึ้น ที่สนามบินดอนเมืองและตลอดทั้งทริปที่กระบี่ เราจะเดินทางโดยรถยนต์ ดังนั้น เราจึงเลือกเช่ารถแบบขับเอง รับและคืนรถได้ที่สนามบินเลยสะดวกมากๆ
ค่าเช่ารถตลอดทริป : 2,250 บาท
พอถึงสนามบิน รับรถ ตรวจเช็คความเรียบร้อยของรถเสร็จ ก็เดินทางมาเช็คอินที่ Hop Inn กระบี่ก่อนเป็นอันดับแรก ที่พักค่อนข้างใหม่ ห้องไม่ได้กว้างมาก มีทั้งเตียงคู่และเตียงเดี่ยวให้เลือก เหมาะมากสำหรับการพักสำหรับคืนแรกของทริปนี้ ราคาไม่แพงเลย
คืนที่ 1 (เราเที่ยวด้วยกัน) ที่พัก Hop Inn กระบี่ ราคา 360 บาท
พอเข้าที่พัก เก็บกระเป๋าเรียบร้อย ก็ไปทานอาหารเย็นที่ร้าน น้องโจ๊ก แนะนำให้จองไปก่อนนะ เพื่อให้มั่นใจว่า มีที่นั่งแน่นอน ร้านนี้ตกแต่งร้านได้น่ารักมาก ใช้โทนสีฟ้าขาว อาหารก็อร่อยถูกปากเลยแหล่ะ ถ้ามาตามแพลนเที่ยวนี้ ก็ลองแวะมาทานร้านนี้ได้
เมนูที่อยากให้ลองคือ ใบเหลียงผัดไข่ ร้านนี้รสดี กลมกล่อมมาก และอีกอย่างคือ หอยชักตีน มากระบี่แล้วต้องลองทานให้ได้ อร่อยดีเหมือนกัน
ร้านนี้ ผมสั่งกับข้าว 5 อย่างและข้าวอีกโถ และน้ำเปล่า
ราคามื้อเย็น (เราเที่ยวด้วยกัน) ร้านน้องโจ๊ก 741 บาท
เดินทางต่ออีกหน่อย ไปชมวิวตอนกลางคืน ที่ลานปูดำ
ลานอเนกประสงค์ริมทะเล ที่มีรูปปั้นปูดำ 7 ตัว ยืนเด่น ต้อนรับ นักท่องเที่ยวอยู่ บริเวณฝั่งตรงข้าม ก็จะมีตลาดเล็กๆ ขายอาหารจุกจิก แวะซื้อทานเล่นได้ (ช่วงที่ไปค่อนข้างเงียบเหงาเพราะ อยู่ในช่วงโควิด)
วันที่ 2 ลงทะเล ถ่ายรูปสวยๆ
ตื่นเช้าเช็คเอ้าออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปหาอาหารเช้าทานก่อนเริ่มต้นวัน ที่ร้านราชรสติ่มซำ นอกจากจะมีติ่มซำแล้ว ก็มีอาหารอื่นๆ เช่นข้าวต้ม ขนมจีน และเครื่องดื่มด้วยนะ โดยเฉพาะขนมจีนที่นี่อร่อยมาก แนะนำให้ลอง
ค่าอาหารมื้อนี้ สำหรับ 5 คน จ่ายไป 1395 บาท
การเดินทางทัวร์เกาะวันนี้ เราเลือกเหมาเรือหางยาว ที่มีบังใจดี คุยเก่ง เป็นคนขับเรือ พาเราเที่ยวตลอดทั้งวัน เป้าหมายหลักของเราคือ การได้ถ่ายรูปกับทะเลแหวก แต่ ก่อนจะไปทะเลแหวกเราอาจจะต้องดูวันและเวลาด้วย ไม่งั้นจะไม่เจอทะเลแหวกนะ เราเลยยกทะเลแหวกไปอีกวันหนึ่ง ส่วนวันนี้เราต้องไปเก็บรูปสวยๆ ของหมู่เกาะห้อง ที่อ่าว บิเละ กันก่อน ที่นี่ มีค่าเข้าอุทยานคนละ 60 บาทนะ
ที่นี่มีจุดเด่นที่หาดทรายขาว น้ำใสจนเห็นปลาเลยทีเดียว และยังมีจุดชมวิว ที่เดินขึ้นไปบนยอดเขา ทางเดินเป็นสะพานเหล็กเดินง่าย บนยอดเขา เราจะสามารถมองเห็นวิวของหาดทรายคล้ายรูปปีกนก และยังมองเห็นเกาะต่างๆ รอบข้างได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
คอนเฟิร์มเลย ว่าเกาะห้อง น้ำใสน่าเล่นมากๆ และที่สำคัญเลย ต้องห้ามพลาดที่จะขึ้นไปชมวิวสวยๆ ด้วยนะ
เดินเที่ยวถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว เราก็เดินทางต่อไปอีกเกาะเพื่อพักทานข้าวเที่ยง(ห่อข้าวไปทานเอง) ที่เกาะเหลาลาดิง เกาะนี้มีหาดค่อนข้างแคบ แต่ก็วิวสวย มีจุดให้เล่นน้ำได้ น้ำใสจนมองเห็นฝูงปลาว่ายน้ำได้เช่นกัน
และต่อด้วยการไปดำน้ำตื้นที่เกาะกินแดงเป็นจุดสุดท้ายของวัน และเดินทางกลับขึ้นฝั่ง เพื่อไปเช็คอินที่พักในคืนที่ 2
คืนที่ 2 (เราเที่ยวด้วยกัน) ที่พัก อวานี อ่าวนางคลิฟ กระบี่ รีสอร์ต ราคา 2032 บาท
ที่พักที่นี่ มีอ่างให้ได้แช่น้ำที่ระเบียงห้องด้วย และยังมีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ที่สามารถชมวิวทะเลได้ที่ชั้น 5 ของที่พักได้อีกด้วย ความลึกของสระประมาณ 150 cm. มีบาร์เครื่องดื่มและร้านอาหารตอนกลางคืนไว้คอยบริการด้วย
มื้อเย็น สำหรับวันนี้เราเลือกทานที่ร้าน วังทราย ซีฟู้ด มื้อนี้เราสั่งมา 5 อย่าง ข้าวเปล่า 1 โถ และน้ำเปล่า อาหารที่แนะนำ และเราสั่งมาทานด้วยก็คือ ยำวังทราย กับ ปลาหมึกทอดกระเทียม อร่อยถูกปากเลยแหล่ะ
ร้านนี้ตั้งอยู่ริมหาดเลย ถ้าจะให้ได้โต๊ะวิวดี มองเห็นพระอาทิตย์ตกดิน แนะนำให้โทรจองก่อน จะได้ไม่พลาดวิวสวยๆ นะ
อาหารมื้อเย็นที่ร้าน วังทราย ซีฟู้ดสำหรับ 5 คนวันนี้ หมดไป 1026 บาท (ได้ส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน)
วันที่ 3 ถ่ายรูปทะเลแหวก
วันที่รอคอยก็มาถึง เช้านี้เราตื่นเช้าเช็คเอ้าออกจากที่พักตั้งแต่ 06:00 น. ทางโรงแรม อวานีเขาจัดชุดอาหารเช้าใส่กล่องไว้ให้ไปทาน ระหว่างทางด้วย
เรามีนัดกับ บังคนเดิม เพื่อไปให้ทันทะเลแหวก ก่อนจะถึงทะเลแหวก เราจะผ่านเกาะไก่ก่อน เราจะสังเกตเห็นจุดเด่นที่มีเสาหินตั้งเด่นคล้ายกับหัวไก่ บังก็จะจอดเรือให้เราถ่ายรูปคู่ ก็จะใช้เวลาจุดนี้สัก 5 นาที
ปกติแล้ว ทะเลแหวกจะแหวกเชื่อม 3 เกาะ คือ เกาะไก่ เกาะทับ และเกาะหม้อ แต่เราช้าไปหน่อย เลยได้เจอแหวกเชื่อมเพียง 2 เกาะ
ที่ทะเลแหวกนี้ ทรายขาว น้ำใส วิวสวยด้วย และที่สำคัญ คือจุดหลักที่เราตั้งใจจะมาถ่ายรูปที่นี่ให้ได้นั่นเอง ถึงแม้จะได้เห็นแหวกเชื่อมเพียง 2 เกาะ แต่ก็โชคดีที่มีเพียงกลุ่มเรากลุ่มเดียวบนเกาะ ทำให้ถ่ายรูปง่าย ไม่ติดคนเยอะ
ถ่ายรูปจนหนำใจเราก็เดินทางไปกันต่อ ที่เกาะปอดะ
จุดถ่ายรูปยอดฮิตคือ ภูเขาหินทรงเรียวยาวตั้งกลางทะเลน้ำใสสีเขียวมรกต มีหาดทรายสีขาวเป็นแนวยาวให้เดินเล่น ชมวิวได้ชิวๆ บรรยากาศเงียบ สงบมากๆ และน้ำก็ใสจนมองเห็นตัวปลาแหวกว่ายเต็มไปหมดเลย
พักผ่อน เดินเล่นซักพัก เราก็เดินทางกันต่อ ไปที่หาดถ้าพระนาง เพื่อไปเดินเล่นและชมวิวอีกเกาะ ซึ่งที่นี่ วิวค่อนข้างแปลกตาถ้าเดินลัดเลาะถ้ำไปเรื่อยๆ ก็จะทะลุไปอีกฝั่งที่เป็นหาดทรายขาว น้ำใส เราจะพบกิจกรรมปีนหน้าผา ที่มีนักปีนฝา มักนิยมมาเล่นกันที่นี่อีกด้วย
กิจกรรมทัวร์เกาะ เราจบที่ ถ้ำพระนาง ใช้เวลาตั้งแต่ช่วง 6:30 - 11:00 น. ถือว่าบรรลุภาระกิจ ที่จะไปถ่ายรูปที่ทะเลแหวกได้สำเร็จ แม้จะได้เห็นแหวกเพียง 2 เกาะ แต่ก็โชคดี ที่ไม่มีคนอื่นบนเกาะเลย ทำให้ได้รูปสวยๆ แบบไม่ติดคนบนเกาะ
แต่กิจกรรมเรายังไม่ได้จบแค่นั้น เรายังต้องไปพายเรือคายัคต่อในวันถัดไป ดังนั้นวันนี้เราจะต้องไปที่พักที่ใหม่อีกคืน ซึ่งเราเลือกพักที่ กระบี่ พูลธารา รีสอร์ท
คืนที่ 3 (เราเที่ยวด้วยกัน) ที่พัก กระบี่ พูลธารา รีสอร์ท ราคา 1620 บาท
ที่พักเป็นบ้าน 1 หลัง แยกเป็น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่น และโซนครัวให้ด้วย นอกจากนี้แล้ว ยังมีสระว่ายน้ำ และลำธารธรรมชาติน้ำใสมากๆ ให้เราได้เล่นน้ำได้อีกด้วย
บริเวณใกล้กัน ก็มีคาเฟ่ น่ารักๆ เครื่องดื่มอร่อย ถ่ายรูปสวย ที่อยู่ภายในที่พักเลย บรรยากาศดีมากๆ ยิ่งได้มาพักกับเพื่อนๆ เป็นกลุ่มนะ แนะนำเลย
กิจกรรมตอนเย็น ที่ไม่อยากให้พลาดกันอีกอย่างก็คือ การไปชมพระอาทิตย์ตก ที่เขาทอง ฮิลล์ ซึ่งเป็นคาเฟ่ ที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มจำหน่าย และที่สำคัญคือ วิวหลักล้าน ที่ใครเห็นก็ต้องประทับใจอย่างแน่นอน
ตอนเย็นชมพระอาทิตย์ตกแล้ว ตอนเช้าจะไม่ชมพระอาทิตย์ ก็คงจะไม่ได้ ดังนั้น เช้าของวันที่ 4 เราจึงตื่นแต่เช้า เดินทางไป ดินแดงดอย ซึ่งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ที่มีทะเลหมอกและทะเลจริง ให้เราได้เห็นพร้อมๆกันด้วย นอกจากวิวที่สวยสะดุดตาแล้ว ยังมีชุดอาหารเช้าที่ราคาถูกมากๆ ให้เราได้สั่งมานั่งทานชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้ด้วย
เป็นอีกจุดอยากแนะนำให้มา ถ้ามากระบี่ บอกเลยว่าไม่ควรพลาดเด็ดขาด
นั่งชมวิวทะเลหมอก รอพระอาทิตย์ขึ้นจนหนำใจ เราก็กลับที่พัก เก็บกระเป๋า เช็คเอ้า ออกเดินทางไปทำภารกิจสุดท้ายของทริปนี้กัน ที่ คลองหรูด (น้ำใส) เพื่อพายเรือคายัค กันต่อ
สำหรับกิจกรรมพายเรือคายัคนี้ เราได้ทำการบ้านและวางแผนกันมาเป็นอย่างดี ว่าจะเป็นกิจกรรมสุดท้าย พายชิวๆ ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน
แต่เอาเข้าจริง ค่อนข้างหนักพอสมควร ใครไม่มีประสบการณ์การพายเรือมาก่อน อาจจะปวดหัว กับตอไม้ที่อยู่ใต้น้ำได้ แต่ใครที่พอมีประสบการณ์มาบ้างแล้วรับรองว่าสนุกอย่างแน่นอน น้ำใสสมชื่อจริงๆ ระยะทางเกือบกิโล พายสนุกจนลืมเวลาเลยแหล่ะ
เราสามารถลงเล่นน้ำได้ ที่จุดเล่นน้ำข้างใน ถ้ามีเวลา แนะนำให้เล่นน้ำนะ เพราะน้ำน่าเล่นจริงๆ ใสและเย็นมากๆ
ค่าพายเรือ คนละ 300 บาท ไม่จำกัดเวลา
จะพายคนเดียวหรือพายเป็นคู่ก็ได้ (แต่แนะนำว่าพายเป็นคู่จะดีกว่า ไม่เหนื่อย)
และนี่ก็คือกิจกรรมสุดท้ายของทริปเรา
ซึ่งปิดท้ายได้อย่างสวยงามและสนุกมากๆ ประทับใจกับทริปนี้สุดๆ
ก่อนกลับเติมน้ำมันให้เต็มถัง จ่ายไป 500 บาท และส่งรถที่สนามบิน
ค่าใช้จ่ายตลอด 4 วัน 3 คืน ใช้เงินคนละประมาณ 4000 บาท(รวมที่พักไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)